เหตุการณ์กบฏเบียร์ของมิวนิก การปะทzierenในเยอรมนีหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและจุดเริ่มต้นของลัทธิฟาสซิสต์

เหตุการณ์กบฏเบียร์ของมิวนิก เป็นเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์เยอรมนีในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 8-9 พฤศจิกายน ค.ศ. 1923 โดยพรรคนาซีภายใต้การนำของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ได้พยายามยึดอำนาจในรัฐบาวาเรีย

ก่อนหน้าเหตุการณ์กบฏเบียร์ การเมืองเยอรมันกำลังประสบความโกลาหลหลังจากการพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เยอรมนีต้องเผชิญกับสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอย่างหนัก อัตราเงินเฟ้อสูงลิบ และปัญหาสังคมต่างๆ

จากสภาพแวดล้อมเช่นนี้ พรรคนาซี ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1920 ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากพวกเขาเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาที่ดูเหมือนจะตรงไปตรงมาและดึงดูดใจ

ฮิตเลอร์ได้ใช้โอกาสนี้ในการโจมตีสาธารณรัฐไวมาร์ ซึ่งเป็นระบอบการปกครองของเยอรมันหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เขาอ้างว่าสาธารณรัฐไวมาร์อ่อนแอและไม่สามารถแก้ไขปัญหาของประเทศได้ และเขายังได้ปลุกระดมความรู้สึกชาตินิยมและความแค้นต่อสนธิสัญญาแวร์ซายซึ่งเยอรมันถูกบังคับให้รับผิดชอบต่อการเริ่มต้นสงคราม

ในวันที่ 8 พฤศจิกายน ค.ศ. 1923 ฮิตเลอร์และผู้ติดตามของเขาได้นำทหารประมาณ 2,000 นายเข้ายึดอาคารเบียร์ฮอลล์ ซึ่งเป็นสถานที่จัดประชุมใหญ่ในมิวนิก

พวกเขาทอดยุทธการเพื่อบุกยึดสำนักงานรัฐบาล และหวังที่จะโค่นล้มรัฐบาลไวมาร์ อย่างไรก็ตาม กบฏของพวกเขาได้ล้มเหลวอย่างรวดเร็ว

เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน ตำรวจได้โจมตีกลุ่มผู้ก่อกบฏที่เบียร์ฮอลล์ และนำฮิตเลอร์ไปขังคุก

แม้ว่ากบฏเบียร์จะล้มเหลว แต่ก็มีผลกระทบสำคัญต่อการเมืองเยอรมัน:

• ความนิยมของพรรคนาซีเพิ่มขึ้น:

แม้ว่ากบฏเบียร์จะไม่ประสบความสำเร็จ แต่ฮิตเลอร์และพรรคนาซีก็ได้รับความสนใจจากสาธารณชน การเผยแพร่ข่าวคราวเกี่ยวกับการต่อสู้ของพวกเขา และข้อความของฮิตเลอร์ในศาลได้ทำให้เขาเป็นที่รู้จักมากขึ้น และเพิ่มจำนวนผู้สนับสนุนพรรคนาซี

• จุดเริ่มต้นของลัทธิฟาสซิสต์: กบฏเบียร์ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญในการพัฒนาของลัทธิฟาสซิสต์ในเยอรมนี

แนวคิดและเทคนิคที่ใช้โดยฮิตเลอร์และพรรคนาซี เช่น การใช้ความรุนแรง การปลุกระดมความรู้สึกชาตินิยม และการโจมตีศัตรูทางการเมือง ถูกนำมาใช้ในการเคลื่อนไหวฟาสซิสต์ในประเทศอื่นๆ

ผลที่ตามมาของเหตุการณ์กบฏเบียร์:

เหตุการณ์กบฏเบียร์เป็นบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับภัยคุกคามจากลัทธิฟาสซิสต์และความสำคัญของการปกป้องประชาธิปไตย